🔹 หนี้ดี vs หนี้เสีย: ความแตกต่างคืออะไร?
📖 Debt (หนี้สิน) คืออะไร?
Debt คือเงินที่เรากู้ยืมมาเพื่อใช้จ่ายหรือการลงทุน และต้องชำระคืนพร้อมดอกเบี้ย
🔹 หนี้ดี (Good Debt) – หนี้ที่ช่วยสร้างมูลค่า เพิ่มรายได้ หรือช่วยให้เราสร้างอนาคตที่มั่นคง
🔹 หนี้เสีย (Bad Debt) – หนี้ที่ทำให้เงินไหลออก ไม่สร้างมูลค่า และมีดอกเบี้ยสูง
📍 1. หนี้ดี (Good Debt) คืออะไร?
📖 Good Debt (หนี้ดี) → หนี้ที่ช่วยเพิ่มรายได้หรือสร้างมูลค่าให้กับชีวิตในระยะยาว
✅ ตัวอย่างหนี้ดี
- กู้เงินซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่อปล่อยเช่า 🏠
- บ้านหรือคอนโดที่ให้ค่าเช่าสูงกว่าค่างวด = รายได้
- มูลค่าบ้านเพิ่มขึ้นในอนาคต (Capital Gain)
- กู้เงินเพื่อการศึกษา 🎓
- เพิ่มโอกาสหางานที่มีรายได้สูงขึ้น
- มีโอกาสพัฒนาอาชีพในระยะยาว
- กู้เงินเพื่อเริ่มต้นธุรกิจ 💼
- หากธุรกิจประสบความสำเร็จจะสร้างรายได้ที่มากขึ้น
- กู้เงินซื้อรถยนต์เพื่อใช้งานทางธุรกิจ 🚗
- เช่น ใช้เป็นรถขนส่งสินค้า หรือบริการขับรถรับจ้าง
📌 คุณสมบัติของหนี้ดี:
✅ ให้ผลตอบแทนมากกว่าต้นทุนดอกเบี้ย
✅ ใช้สร้างสินทรัพย์หรือเพิ่มรายได้
✅ สามารถควบคุมการจ่ายคืนได้โดยไม่กระทบสถานะการเงิน
📍 2. หนี้เสีย (Bad Debt) คืออะไร?
📖 Bad Debt (หนี้เสีย) → หนี้ที่ทำให้เงินไหลออก และไม่มีผลตอบแทนในอนาคต
❌ ตัวอย่างหนี้เสีย
- หนี้บัตรเครดิต (Credit Card Debt) 💳
- ใช้ซื้อของที่ไม่จำเป็น และมีดอกเบี้ยสูง (15-28% ต่อปี)
- จ่ายขั้นต่ำ = ติดหนี้ยาว
- สินเชื่อบุคคล (Personal Loan) ที่ใช้ผิดวัตถุประสงค์ 💰
- กู้เงินมาใช้จ่ายฟุ่มเฟือย เช่น ซื้อ Gadget รุ่นใหม่
- หนี้จากการซื้อของฟุ่มเฟือย 🛍️
- ซื้อรถหรูเกินตัว
- ซื้อเสื้อผ้า กระเป๋า นาฬิกาหรู ทั้งที่ไม่จำเป็น
📌 คุณสมบัติของหนี้เสีย:
❌ ไม่มีผลตอบแทนในอนาคต
❌ ดอกเบี้ยสูง ทำให้เงินไหลออก
❌ ทำให้การเงินติดลบ
🔹 3. อัตราส่วน Debt-to-Income Ratio (DTI) คืออะไร?
📖 Debt-to-Income Ratio (DTI) = อัตราส่วนหนี้สินต่อรายได้
- ใช้วัดว่าคุณมีหนี้สินมากเกินไปหรือไม่
- ธนาคารใช้พิจารณาอนุมัติสินเชื่อ
📌 สูตรคำนวณ DTIDTI=(หนี้สินต่อเดือนทั้งหมดรายได้ต่อเดือน)×100DTI = \left(\frac{\text{หนี้สินต่อเดือนทั้งหมด}}{\text{รายได้ต่อเดือน}} \right) \times 100DTI=(รายได้ต่อเดือนหนี้สินต่อเดือนทั้งหมด)×100
💡 ตัวอย่างการคำนวณ
สมมติว่าคุณมีรายได้ 30,000 บาทต่อเดือน
และมีภาระหนี้ดังนี้
- ค่าผ่อนบ้าน: 7,000 บาท
- ค่าผ่อนรถ: 3,500 บาท
- ค่าผ่อนบัตรเครดิต: 2,500 บาท
👉 DTI = (7,000 + 3,500 + 2,500) ÷ 30,000 × 100
👉 DTI = 43.3%
📌 เกณฑ์มาตรฐานของ DTI
✅ ต่ำกว่า 30% = ดีมาก (สามารถกู้เพิ่มได้)
⚠️ 30-40% = เริ่มสูง ควรลดภาระหนี้
🚨 มากกว่า 40% = เสี่ยงต่อปัญหาทางการเงิน
🔹 4. แผนการปลดหนี้ (Debt Repayment Plan)
📖 Debt Repayment Plan (แผนการปลดหนี้) → กลยุทธ์ในการลดและชำระหนี้ให้เร็วขึ้น
📌 1. วิธี Snowball Method (วิธีหิมะกลิ้ง) ❄️
✅ เหมาะสำหรับ: คนที่ต้องการกำลังใจและแรงจูงใจ
💡 วิธีนี้เน้น “จ่ายหนี้ก้อนเล็กสุดก่อน” และค่อย ๆ ไต่ระดับไปยังหนี้ก้อนใหญ่
🔹 ขั้นตอน:
- จัดลำดับหนี้จาก น้อย → มาก
- จ่ายขั้นต่ำทุกหนี้ และ “เพิ่มเงิน” จ่ายหนี้ก้อนเล็กสุดก่อน
- เมื่อหนี้แรกหมด → นำเงินที่เคยจ่ายไปเพิ่มให้หนี้ก้อนถัดไป
🔹 ตัวอย่าง:
หนี้ | จำนวน | ดอกเบี้ย | ค่าผ่อนขั้นต่ำ |
---|---|---|---|
บัตรเครดิต 1 | 10,000 | 20% | 1,000 |
บัตรเครดิต 2 | 50,000 | 18% | 2,500 |
ผ่อนรถ | 200,000 | 5% | 5,000 |
👉 คุณจะจ่ายหนี้ บัตรเครดิต 1 ก่อน จากนั้นนำเงินมาจ่ายบัตรเครดิต 2 และสุดท้ายจ่ายค่าผ่อนรถ
📌 2. วิธี Avalanche Method (วิธีหิมะถล่ม) 🏔️
✅ เหมาะสำหรับ: คนที่ต้องการลดดอกเบี้ยเร็วที่สุด
💡 วิธีนี้เน้น “จ่ายหนี้ที่มีดอกเบี้ยสูงสุดก่อน”
🔹 ขั้นตอน:
- จ่ายขั้นต่ำทุกหนี้ และ “เพิ่มเงิน” จ่ายหนี้ที่ดอกเบี้ยสูงสุดก่อน
- เมื่อหนี้แรกหมด → นำเงินไปจ่ายหนี้ดอกเบี้ยสูงถัดไป
🔹 ตัวอย่าง:
หนี้ | จำนวน | ดอกเบี้ย | ค่าผ่อนขั้นต่ำ |
---|---|---|---|
บัตรเครดิต 1 | 10,000 | 20% | 1,000 |
บัตรเครดิต 2 | 50,000 | 18% | 2,500 |
ผ่อนรถ | 200,000 | 5% | 5,000 |
👉 คุณจะจ่ายหนี้ บัตรเครดิต 1 (20%) ก่อน จากนั้นค่อยไปจ่ายบัตรเครดิต 2 และค่าผ่อนรถ
📌 เปรียบเทียบ Snowball vs Avalanche
วิธี | เหมาะกับใคร | จุดเด่น |
---|---|---|
Snowball | คนที่ต้องการ “กำลังใจ” | ปลดหนี้ได้เร็วตามจำนวนหนี้ |
Avalanche | คนที่ต้องการ “ลดดอกเบี้ย” | จ่ายดอกเบี้ยน้อยลงในระยะยาว |
🚀 Task: คำนวณหนี้สินของคุณเอง
✅ 1. คำนวณ DTI ของตัวเอง
✅ 2. เลือกวิธีปลดหนี้: Snowball หรือ Avalanche
✅ 3. วางแผนการปลดหนี้ให้หมดภายใน 1-3 ปี