สรุปจาก Youtube นี้นะครับ จาก DataRockie

ทำไมต้องเรียนรู้เกี่ยวกับการคิด?

George Bernard Shaw เคยกล่าวไว้ว่า “มีเพียงไม่กี่คนที่คิดจริงจังเกินกว่าสองหรือสามครั้งในชีวิต” ซึ่งหมายความว่าหลายคนดำเนินชีวิตไปตามสัญชาตญาณและประสบการณ์เดิม ๆ มากกว่าที่จะไตร่ตรองเชิงลึกก่อนตัดสินใจ

Benjamin Franklin เสริมว่า “รูรั่วเล็ก ๆ อาจทำให้เรือทั้งลำจมได้” หมายถึงความผิดพลาดเล็ก ๆ น้อย ๆ หากไม่ได้รับการแก้ไข อาจส่งผลเสียหายใหญ่หลวงในระยะยาว

ดังนั้น Mental Models เป็นเครื่องมือช่วยให้เราตัดสินใจดีขึ้นผ่านมุมมองที่กว้างขึ้นและลึกขึ้น เพื่อช่วยให้เรามีความเข้าใจโลกที่แม่นยำขึ้นและปรับตัวได้ดีขึ้นในทุกสถานการณ์


1. แผนที่ไม่ใช่ดินแดน (Map is Not The Territory)

แนวคิด:

  • แผนที่เป็นเพียงการแทนค่าของโลกแห่งความเป็นจริง แต่มันไม่สามารถสะท้อนทุกมิติของความจริงได้
  • เรามักใช้แบบจำลองในการทำความเข้าใจโลก เช่น ค่า P/E Ratio ในการลงทุน แต่อย่าพึ่งพามันเพียงอย่างเดียว

ตัวอย่าง:

  • นักลงทุนอาจดู P/E Ratio เพื่อประเมินมูลค่าหุ้น แต่ตัวเลขเดียวไม่สามารถบอกทุกอย่างเกี่ยวกับบริษัทได้
  • การใช้สถิติในการคาดการณ์แนวโน้มธุรกิจ แต่หากไม่เข้าใจบริบท อาจทำให้ตีความผิดพลาด

ข้อคิด:

  • ใช้แบบจำลองที่เหมาะสมกับบริบท แต่ไม่ควรพึ่งพาแบบจำลองใดแบบจำลองหนึ่งเพียงอย่างเดียว
  • ปรับปรุงแบบจำลองให้ทันสมัย เพราะโลกเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ

2. การคิดแบบหลักการแรก (First Principles Thinking)

แนวคิด:

  • คิดย้อนกลับไปหาต้นตอของปัญหา แทนที่จะยึดตามแนวคิดเดิม ๆ
  • ใช้ในการแก้ปัญหาและสร้างนวัตกรรมใหม่

ตัวอย่าง:

  • Elon Musk ลดต้นทุนแบตเตอรี่จาก $600 เหลือ $80 โดยแยกส่วนประกอบแบตเตอรี่ออกมาศึกษาทีละตัว
  • Jeff Bezos ใช้หลักคิด “Customer Obsession” เพื่อสร้าง Amazon โดยเน้นความสุขของลูกค้าเป็นหัวใจหลัก

ข้อคิด:

  • อย่าติดอยู่กับข้อจำกัดเดิม ๆ ให้แยกปัญหาออกเป็นองค์ประกอบเล็ก ๆ แล้วหาวิธีปรับปรุง
  • ใช้หลักการพื้นฐานมาสร้างสิ่งใหม่ แทนที่จะลอกเลียนแบบแนวคิดเดิม ๆ

3. การคิดเชิงลำดับที่สอง (Second-Order Thinking)

แนวคิด:

  • มองผลกระทบระยะยาวของการตัดสินใจ ไม่ใช่แค่ผลระยะสั้น

ตัวอย่าง:

  • ลดราคาสินค้า → ยอดขายเพิ่มขึ้น (ผลระยะสั้น) → แต่กำไรลดลง และอาจเกิดสงครามราคา (ผลระยะยาว)
  • กินอาหารขยะ → อร่อยทันที (ผลระยะสั้น) → สุขภาพแย่ลง (ผลระยะยาว)

ข้อคิด:

  • ก่อนตัดสินใจ ให้คิดถึงผลที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ไม่ใช่แค่สิ่งที่เห็นตรงหน้า

4. การคิดแบบความน่าจะเป็น (Probabilistic Thinking)

แนวคิด:

  • คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ แทนที่จะมองแบบขาวดำ

ตัวอย่าง:

  • ถามว่า “ประเทศไทยจะเป็นประเทศพัฒนาแล้วใน 10 ปีข้างหน้าหรือไม่?”
  • คำตอบแบบเดิม: “ใช่” หรือ “ไม่ใช่”
  • คำตอบแบบใหม่: “60%” (ใช้โอกาสความน่าจะเป็นแทนการฟันธง)

ข้อคิด:

  • โลกไม่ได้มีแค่ “ใช่” หรือ “ไม่ใช่” แต่เต็มไปด้วยระดับของความเป็นไปได้

5. การคิดกลับด้าน (Inversion Thinking)

แนวคิด:

  • แทนที่จะถามว่า “ทำอย่างไรถึงจะสำเร็จ?” ให้ถามว่า “ทำอย่างไรถึงจะล้มเหลว?” แล้วหลีกเลี่ยงมัน

ตัวอย่าง:

  • อยากสุขภาพดี → ไม่ใช่แค่กินอาหารดี แต่ต้องหลีกเลี่ยงอาหารขยะ
  • อยากรวย → ไม่ใช่แค่หารายได้เพิ่ม แต่ต้องหลีกเลี่ยงการใช้จ่ายฟุ่มเฟือย

ข้อคิด:

  • การหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดสำคัญพอ ๆ กับการเลือกเส้นทางที่ถูกต้อง

6. วงกลมแห่งความสามารถ (Circle of Competence)

แนวคิด:

  • โฟกัสที่สิ่งที่คุณรู้จริง ไม่ใช่สิ่งที่คุณ คิดว่า รู้

ตัวอย่าง:

  • Warren Buffett ลงทุนเฉพาะในธุรกิจที่เขาเข้าใจดี
  • การพยายามทำสิ่งที่อยู่นอกขอบเขตความรู้ของตนอาจทำให้ผิดพลาด

ข้อคิด:

  • พัฒนาความสามารถของตนเอง และอย่าหลงเข้าไปในสิ่งที่เราไม่มีความเชี่ยวชาญ

7. การใช้สถิติเป็นแบบจำลองทางจิต (Statistics as a Mental Model)

แนวคิด:

  • ไม่จำเป็นต้องมีข้อมูล 100% ก็สามารถตัดสินใจได้

ตัวอย่าง:

  • ใช้ ตัวอย่าง (Sample) เพื่อสรุปข้อมูลประชากรทั้งหมด
  • ใช้ หลักการใหญ่ (First Principles) เพื่อคาดการณ์รายละเอียดที่เล็กลง

ข้อคิด:

  • การคิดวิเคราะห์อย่างมีเหตุผลสำคัญกว่าการมีข้อมูลทั้งหมด

บทสรุป: ใช้ Mental Models อย่างไรให้เกิดประโยชน์สูงสุด?

  • ใช้แบบจำลองเป็น เครื่องมือ ไม่ใช่ กฎตายตัว
  • คิดจาก หลักการแรก (First Principles)
  • มองผล ระยะยาว (Second-Order Thinking)
  • คิดแบบ ความน่าจะเป็น (Probabilistic Thinking)
  • หลีกเลี่ยงสิ่งที่ผิดพลาดผ่าน Inversion Thinking
  • ทำงานใน ขอบเขตความสามารถของตนเอง (Circle of Competence)

Mental Models เป็นแนวคิดที่ช่วยให้เราตัดสินใจดีขึ้นและสามารถใช้ได้ในทุกด้านของชีวิต

Comments

comments